จ่อลุยทนายตั้ม คดี 2 โกง 39 ล้าน ไล่ยึดขุมทรัพย์ ผกก.เพื่อนรักโจ๊กเครียด! ท้าสอบเส้นเงินโยงทนาย

รอง ผบช.ก.สั่งตำรวจกองปราบฯเร่งขยายผล อายัดทรัพย์ทนายตั้ม จ่อลุยทนายตั้ม พร้อมเดินหน้าลุยต่อคดี ที่สอง ฉ้อโกงเงินเจ๊อ้อย 39 ล้านบาท

หลังพบคนสนิททนายตั้มไปถอนเงินห้างดังย่านลาดพร้าว เร่งตรวจสอบ GPS รถ Porsche ของทนายตั้ม หาความเชื่อมโยงว่าไปด้วยกันหรือไม่ ขณะที่รองโฆษกกรมราชทัณฑ์เผยเผยทนายตั้มกับเมียนอนเรือนจำคืนแรก เครียดเล็กน้อยแต่ยังนอนหลับได้ มีตื่นบ้างเป็นบางครั้ง เป็นเรื่องปกติของผู้เข้าเรือนจำในช่วงแรกๆ ไม่ต้องเฝ้าระวังอะไรเป็นพิเศษ ส่วนอาหารมื้อแรกของทนายตั้มเป็นข้าวสวย แกงจืดวุ้นเส้น และไข่เจียว ส่วนนางปทิตตาเป็นข้าวต้มกับผัดไชโป๊ใส่ไข่ ทั้งนี้ทั้งคู่จะต้องอยู่แดนกักโรคป้องกันโควิด-19 และปฐมนิเทศอีกรวม 16 วัน จากนั้นถึงจะเลือกแดนให้อยู่ เพราะหลายแดนในเรือนจำมีคู่กรณีของทนายตั้ม อยู่หลายคน ทั้งคดี “ดิ ไอคอน กรุ๊ป” และคดีอื่นๆ เพื่อเลี่ยงการปะทะหรือเผชิญหน้ากัน ด้านผู้กำกับ สน.บางซื่อท้าให้ตรวจเส้นเงิน ยันไม่รู้เห็นกับคดีทนายตั้ม หลอกเงินเจ๊อ้อย ขณะที่ทนายเจ๊อ้อยยืนยันเงินที่ให้เป็นเงินที่ถูกหลอกลงทุนไม่ได้ให้ด้วยเสน่หา ตัวเจ๊อ้อยพร้อมต่อสู้คดีไม่มียอมความแน่นอน

จากคดีสะเทือนวงการทนายกรณีตำรวจกองปราบปรามจับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม พร้อมแจ้ง 4 ข้อหาฉ้อโกง, ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปฟอกเงิน หลังโกงเงิน น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือเจ๊อ้อย ไป 71 ล้าน ส่วนนางปทิตตา ภรรยา โดนข้อหาร่วมกันฟอกเงิน จ่อลุยทนายตั้ม ก่อนตำรวจนำตัวทั้งคู่ไปฝากขังต่อศาลอาญารัชดาฯ และถูกคัดค้านการประกันตัว จนทั้งคู่ต้องเข้าไปนอนในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ตามที่ได้มีการเสนอข่าวไปแล้ว

วันที่ 9 พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังการจับกุมตัวนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม และ นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา ในคดีฉ้อโกงเงิน น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือเจ๊อ้อย จำนวน 71 ล้านบาท พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบช.ก. ยังสั่งการให้เจ้าหน้าที่ชุดคลี่คลายคดีของกองปราบปราม สืบหาพยานหลักฐานอื่นๆเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้พยานหลักฐานในสำนวนคดีมีความแน่นหนาและรัดกุม ครอบคลุมทุกมิติ เนื่องจากผู้ต้องหาเป็นทนายความมีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายเป็นอย่างดี นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังอยู่ระหว่างขยายผลตามอายัดทรัพย์สินต่างๆที่อยู่ในการครอบครองของนายษิทรา และภรรยา มาตรวจสอบที่มาที่ไป โดยเฉพาะรถหรู แผ่นป้ายทะเบียนรถเลขสวย รวมไปถึงที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ นาฬิกาหรู และเสื้อผ้ากระเป๋าแบรนด์เนมต่างๆ ที่มีการเคลื่อนย้ายถ่ายเท โดยในส่วนนี้ตำรวจจะประสานข้อมูลร่วมกับสำนักงาน ปปง. เพื่อเร่งติดตามอายัดบ้านหรูและทรัพย์สินอื่นๆ รวมทั้งเส้นทางการเงินอย่างต่อเนื่องต่อไป

ส่วนการตรวจสอบกรณีฉ้อโกงเงิน 39 ล้านบาท จ่อลุยทนายตั้ม เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างตรวจสอบพยานหลักฐานข้อเท็จจริง เบื้องต้นทราบว่าหลัง น.ส.จตุพร หรือ เจ๊อ้อย โอนเงินจำนวนดังกล่าวไปแล้วนั้น นายนุ คนสนิททนายตั้ม และ น.ส.สารินี นุชนารถ ภรรยาของ นายนุ ได้เดินทางไปถอนเงินสดออกมาจากธนาคารที่ห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่งย่านห้าแยกลาดพร้าว ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ชุดคลี่คลายคดีกำลังตรวจสอบข้อมูล GPS ของรถ Porsche รุ่น Cayenne ทะเบียน ธก 999 กรุงเทพมหานคร ของนายษิทราให้แน่ชัดว่าในวันที่ น.ส.สารินี กับนายนุ ไปถอนเงินนั้น นายษิทราได้ไปพบหรือไปด้วยกันหรือไม่

นอกจากนี้ จากกรณี พ.ต.อ.ภูวดล อุ่นโพธิ ผกก.สน.บางซื่อ เข้าให้ปากคำตำรวจกองปราบฯ เกี่ยวกับกรณี น.ส.สารินี เข้าแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สน.บางซื่อ อ้างว่า ถูกดูดเงินจากบัญชีที่ใช้โอนบิทคอยน์ ไปจำนวน 2,276,400 บาท เมื่อวันที่ 23 พ.ค.2566 นั้น จ่อลุยทนายตั้ม จากการสอบปากคำ พ.ต.อ.ภูวดลให้การยอมรับว่า ก่อนหน้าที่ น.ส.สารินี จะมาลงบันทึกประจำวัน นายษิทราได้โทรศัพท์ติดต่อมาหา เพื่อขออำนวยความสะดวกให้รับลงบันทึกประจำวันให้กับ น.ส.สารินีจริง ถือเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีโกงเงิน 39 ล้านบาทเป็นอย่างมาก สอดคล้องกับเมื่อวันที่ 8 พ.ย. พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ได้มีคำสั่งตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง พ.ต.อ.ภูวดล เกี่ยวกับเรื่องรับลงบันทึกประจำวันดังกล่าวว่า เอื้อประโยชน์ให้กับนายษิทรา และพวกหรือไม่ เจ้าหน้าที่ชุดคลี่คลายคดีโกงเงิน 39 ล้านบาทของกองปราบปรามได้เตรียมเร่งประสานขอข้อมูลการสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว หากผลการตรวจสอบแล้วเสร็จดีแล้ว จะนำมาประกอบสำนวนคดีใช้เป็นแนวทางพิจารณาข้อเท็จจริงต่อไป

ขณะที่ พ.ต.อ.ภูวดล อุ่นโพธิ ผกก.สน.บางซื่อ จ่อลุยทนายตั้ม เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ยืนยันว่ารู้จักกับทนายตั้ม 5 ปีแล้ว ตอนนั้นภาพลักษณ์ของทนายตั้มเป็นคนดี เป็นมูลนิธิทนายประชาชน ที่ผ่านมาทนายตั้มมักจะไหว้วานให้ตัวเองลงบันทึกประจำวันมาแล้วหลายเรื่อง ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ทนายตั้มโทร.มาบอกว่าจะมีคนเข้ามาลงบันทึกประจำวัน ยืนยันว่าตนไม่รู้ถึงรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องของคดี จนกระทั่งมาตกเป็นข่าวถึงรู้ว่าใบบันทึกประจำวันที่ทนายตั้มให้พรรคพวกมาลงไว้ถูกนำไปหลอกเจ๊อ้อย ยอมรับว่าตอนนี้รู้สึกเครียดและกังวล หลังถูกสังคมโจมตี ว่าตนมีส่วนเกี่ยวข้องกับทนายตั้ม ยืนยันว่าเรื่องนี้สามารถตรวจสอบเส้นทางการเงินของตนได้เลย ยืนยันความบริสุทธิ์ใจไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน ส่วนที่ถูกสังคมโยงไปว่าเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีต รอง ผบ.ตร หรือบิ๊กโจ๊กนั้น ยอมรับว่าเป็นเพื่อนสนิทกันมากจริง แต่ต่างคนต่างทำหน้าที่ อีกทั้งก่อนหน้านี้บิ๊กโจ๊กได้เคยบอกว่า เลิกคบกับทนายตั้มนานแล้ว เพราะรู้ว่าเป็นคนยังไงด้วย

ด้านนางกนกวรรณ จิ๋วเชื้อพันธุ์ รรท.ผอ.ทัณฑสถานหญิงกลาง ในฐานะรองโฆษกกรมราชทัณฑ์ กล่าวถึงการควบคุมตัวนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม และนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา ภายในเรือนจำเป็นคืนแรก ว่า ทั้งสองคนให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี สำหรับความเครียดเป็นปกติของผู้ต้องขังใหม่ทุกคน แต่ไม่มีอะไรที่จะต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ทั้งคู่ยังสามารถรับประทานอาหารได้ปกติ สำหรับมื้อเช้าของทนายตั้ม เป็นข้าวสวย แกงจืดวุ้นเส้น และไข่เจียว ส่วนมื้อเช้าของนางปทิตตา ภรรยาทนายตั้ม เป็นข้าวต้มและผัดไชโป้วใส่ไข่ นอกจากนี้ทั้งคู่ยังสามารถนอนหลับได้ แต่อาจมีตื่นบ้างเป็นบางเวลา ยังถือว่าเป็นเรื่องปกติของการเข้าเรือนจำในช่วงแรกๆ เพราะต้องใช้ระยะเวลาในการปรับตัว

นางกนกวรรณกล่าวต่อว่า กรมราชทัณฑ์จะจัดแพทย์และนักจิตวิทยาคอยให้คำปรึกษาแนะนำทั้งในเรื่องสุขภาพกายและสุขภาพจิตตามกระบวนการ ทั้งนี้ ทั้งคู่จะต้องอยู่ในแดนกักโรคของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและทัณฑสถานหญิงกลางเป็นเวลา 5 วัน ตามมาตรการป้องกันโควิด-19 เมื่อครบกำหนดแล้วจะมีการปฐมนิเทศอีก 1 สัปดาห์ ก่อนจะพิจารณาส่งผู้ต้องหาไปควบคุมต่อยังแดนปกติภายในเรือนจำ โดยเจ้าหน้าที่จะพิจารณาเรื่องคู่กรณีของทนายตั้ม ในส่วนของคดี “ดิ ไอคอน กรุ๊ป” ที่มีผู้ต้องขังชายอยู่ถึง 11 คน ต่างกระจายอยู่ในแดนต่างๆ แดนละ 2-3 คน รวมไปถึงคดีอื่นๆ เพื่อจัดแดนให้ทนายตั้ม ให้เกิดความเหมาะสม ปลอดภัยและหลีกเลี่ยงการปะทะหรือเผชิญหน้ากัน

ขณะที่นายสมชาติ พินิจอักษร ทนายความของ น.ส.จตุพร หรือเจ๊อ้อย เปิดเผยถึงกรณีนายษิทรา หรือทนายตั้ม พร้อมภรรยา ถูกนำตัวไปฝากขังและศาลยกคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวว่า เจ๊อ้อยยังยืนยันว่าเงินจำนวน 71 ล้านบาทนั้น เป็นเงินที่ถูกหลอกลงทุน ไม่ใช่เงินที่ให้โดยเสน่หาแต่อย่างใด ส่วนกรณีเรื่องเงินจำนวน 39 ล้านบาท ยังไม่ทราบรายละเอียดในเรื่องนี้ว่าตำรวจจะมีการเรียกผู้เกี่ยวข้องเข้ามาสอบช่วงไหน วันไหน เวลาไหน ขณะนี้เจ๊อ้อยยังอยู่ที่ประเทศไทย และพร้อมที่จะสู้คดีไม่ยอมความอย่างแน่นอน ผู้สื่อข่าวถามว่า หลังจากที่ผู้ต้องหาทั้งคู่ถูกคุมตัวเข้าเรือนจำ ตัวเจ๊อ้อยได้มีท่าทีอย่างไรบ้าง ทนายสมชาติกล่าวว่า ไม่ได้มีท่าทีหรือแสดงออกอะไร เพราะรายละเอียดได้ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจไปหมดแล้ว โดยยืนยันว่าเป็นข้อเท็จจริงทั้งหมด

มีรายงานข่าวว่า ที่วัดป่าหวายวิปัสสนาญาณ อ.สอยดาว จ.จันทบุรี หลวงปู่พลชัย เจ้าอาวาส ออกมายืนยันว่า ทนายตั้มจะเดินทางมาปฏิบัติธรรมที่วัดจริง โดยมีการโทรศัพท์ติดต่อมาหาเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า อาทิตย์หน้าจะมาหาจะมาปฏิบัติธรรม ทั้งยังพูดด้วยว่า “ตอนนี้วุ่นวายมากครับหลวงปู่” ซึ่งหลวงปู่ได้ตอบกลับว่า “ดีแล้วมาสิ มาสงบสติอารมณ์บ้าง” หลวงปู่พลชัยบอกอีกว่า เมื่อวานนี้ได้ดูข่าวที่ตำรวจสกัดจับทนายตั้มกับภรรยาที่ จ.ฉะเชิงเทรา ตำรวจมองว่าทั้ง 2 คนมีเจตนาจะหลบหนีออกนอกประเทศ ส่วนตัวมองว่าไม่เป็นความจริง เพราะมีการโทรศัพท์มานัดหมายล่วงหน้าแล้ว แต่เนื่องจากวัดอยู่ใกล้กับชายแดนประเทศกัมพูชาจนอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด ขณะที่ทนายตั้มกับภรรยาเดินทางมาปฏิบัติธรรมที่นี่หลายปีแล้ว จะมาประมาณปีละ 2-3 ครั้ง มาครั้งละ 2-3 คืน แล้วแต่จะสะดวก พร้อมกันนี้หลวงปู่พลชัยยังได้เปิดโทรศัพท์มือถือให้ดู เพื่อยืนยันว่าทนายตั้ม ได้โทรศัพท์มานัดหมายล่วงหน้าจริง โดยทนายตั้ม ได้ใช้เบอร์ส่วนตัวลงท้ายด้วย 9999 โทร.เข้ามา เมื่อวันที่ 28 ต.ค. เวลา 20.59น.

ส่วนที่วัดคลองครุ (ปัฐวิกรณ์) กทม. ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สส.พะเยา พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) อดีต รมว.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงกรณีเคยไปร่วมงานวันเกิดของภรรยา และร่วมงานเปิดสำนักงานทนายความของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ว่า มีน้องรักที่ทำงานเพื่อสังคมชวนไปแสดงความยินดี ไม่ได้มีความสนิทสนมกันเป็นการส่วนตัว เรื่องนี้เกิดขึ้นสมัยนานมาแล้ว ไม่มีนัยอะไรเลย ถือเป็นการรู้จักครั้งแรกกับทนายตั้ม จากนั้นไม่ได้ติดต่ออะไรกันอีกเลย ตอนนั้นไปในฐานะเป็น รมช.เกษตรและสหกรณ์ เมื่อถามว่าทนายตั้มมักอ้างว่ารู้จักกับผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ร.อ.ธรรมนัสกล่าวว่า ไม่มีความผูกพัน และไม่เคยคุยส่วนตัวกับทนายตั้มเลย

วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ จ.ปทุมธานี ไปที่บ้านของนายสุบิน ยาวิราช อายุ 47 ปี พ่อของ น.ส.นรีกานต์ ยาวิราช หรือหญิง อายุ 19 ปี ที่เสียชีวิตปริศนา โดยผู้ต้องหาอ้างว่าตกรถเทรเลอร์ จากการที่ทนายตั้มพยายามเปลี่ยนคดีน้องหญิงตกรถให้เป็นแค่อุบัติเหตุรอดในศาลชั้นต้น แต่สุดท้ายฎีกาให้ความยุติธรรมน้อง เพราะตรวจพบรอยช้ำหลายจุด จากการโดนตีหัวด้วยของแข็ง จนลูกความทนายตั้มโดนพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต เหตุเกิดตั้งแต่ปลายปี 2561 ที่ผ่านมา โดยนายสุบินพ่อน้องหญิงได้เปิดบ้านพร้อมนำสิ่งของ เช่น กระเป๋าที่น้องสะพายไปในวันที่เกิดเหตุออกมาให้ผู้สื่อข่าวดูพร้อมทั้งนำรูปถ่ายของลูกสาวมาตั้งก่อนกล่าวว่า อยากฝากถึงทนายตั้มที่เจอวิบากกรรมอยู่ในขณะนี้ว่า เขาทำอะไรไว้ก็ขอให้เป็นไปตามผลกรรมที่เขาเคยทำ ตอนนี้เยอะมากที่เขาเจอ ใครทำอะไรไว้ก็ขอให้ได้รับผลกรรมไปตามนั้นก็ขอให้เป็นไปตามกรรมของการกระทำ

ที่สำนักงานทนายคลายทุกข์ วันเดียวกัน นายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือทนายเดชา ประธานเครือข่ายทนายคลายทุกข์ ให้สัมภาษณ์สื่อถึงกรณีที่ทนายตั้มและภรรยาถูกจับในคดีฉ้อโกงเจ๊อ้อยให้ลงทุนธุรกิจหวยออนไลน์ 71 ล้านบาท ว่า เมื่อเช้ามีโอกาสได้คุยกับนายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของทนายตั้มและภรรยา โดยทนายสายหยุดยืนยันว่า ทนายตั้มไม่ได้ให้การกับตำรวจเหมือนกับที่พูดในรายการ หรือตามที่ออกสื่อไปก่อนหน้านี้ ที่บอกว่าได้เงินมาด้วยความเสน่หา โดยทนายตั้มให้การกับตำรวจในลักษณะว่าได้รับเงินมาจากผู้เสียหาย เพื่อไปลงทุนเกี่ยวกับธุรกิจหวยออนไลน์ และมาทำเพียงคนเดียวไม่ได้ร่วมลงทุนกับผู้เสียหาย ซึ่งทนายตั้มคงมีการวางแผนไว้นานแล้ว

ขณะที่ทนายตั้มถูกจับกุมนั้น ทนายสายหยุดยังได้เตรียมคำให้การทนายตั้มที่อยู่ในแฟลชไดรฟ์ส่งให้พนักงานสอบสวน หลังพนักงานสอบสวนฟังคำให้การเสร็จ ตัวทนายตั้มเองเพียงเซ็นชื่อเท่านั้น ทั้งนี้ ทนายตั้มและทนายสายหยุดมั่นใจว่าจะหลุดคดีนี้

นายเดชากล่าวต่อว่า ส่วนที่ทนายตั้มไปออกสื่อหรือรายการต่างๆจะเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์หรือไม่ จะต้องมาดูว่าผู้ใดเป็นผู้เผยแพร่ และขึ้นอยู่กับพนักงานสอบสวน เพราะศาลจะใช้ข้อมูล สำนวนจากตำรวจและใช้คำให้การในชั้นศาลเพียงเท่านั้น ส่วนที่มองว่าคำพูดของทนายตั้มกลับไปกลับมาไม่อยู่กับร่องกับรอยนั้นถือเป็นสิทธิของผู้ต้องหาที่จะให้การอย่างไรก็ได้ จากนั้นศาลจะเอาคำให้การในสำนวนไปชั่่งน้ำหนักว่า คำให้การของพยานหรือฝ่ายโจทก์ผู้ใดมีความน่าเชื่อถือมากกว่ากัน เมื่อถามว่าสิ่งที่ทนายตั้มให้การกับตำรวจขัดแย้งกับที่พูดในรายการจะทำให้กระทบต่อภาพลักษณ์ตัวเองหรือไม่ ทนายเดชากล่าวว่าตัวทนายตั้มไม่ได้คำนึงถึงอะไร คำนึงเพียงแค่ผลของคดีเท่านั้นว่าจะรอดหรือไม่ ก่อนหน้านี้ในกลุ่มไลน์ทีมทนายความอเวนเจอร์แสดงความเป็นห่วงทนายตั้มได้พิมพ์เข้ามาในกลุ่มว่า “ไม่ต้องห่วงผมรอดแน่ คดีใหญ่กว่านี้ผมก็ผ่านมาแล้ว แล้วจะผ่านไปได้เหมือนทุกคดีที่ผ่านมา” สำหรับทนายตั้มรู้ตัวว่าจะถูกออกหมายจับมาก่อนเป็นเดือนแล้ว รู้กระทั่งจะโอนสำนวนไปที่ บก.ป.วันไหน จึงได้เตรียมการทุกอย่างไว้ และเชื่อว่าคดีนี้ทนายตั้มมีหมัดเด็ดในการสู้คดีแน่

ติดตามข่าวสาร ข่าวเด็ด ประเด็นร้อน ที่นี่ 👉 ข่าวเด็ดประจำวัน