พลิกโฉมแบบเรียนไทย สอนคิดสร้างด้วยการใช้ดิจิทัล

พลิกโฉมแบบเรียนไทย

พลิกโฉมแบบเรียนไทย ใช้สื่อดิจิทัลเข้ามาช่วยเสริมให้กว้างขึ้น

การศึกษาไทยกำลังเผชิญ “การปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ ในยุคดิจิทัล” จากการพัฒนาของเทคโนโลยี และความต้องการทางสังคมที่เปลี่ยนไปสำหรับอนาคต ทำให้การศึกษาไม่สามารถจะยึดติดกับรูปแบบเดิมๆ จำเป็นต้องปรับการเรียนการสอนให้สอดคล้องความต้องการทางศักยภาพของผู้เรียนนั้น

โดยเฉพาะบทบาทครูในปัจจุบัน “ไม่เพียงเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้เท่านั้น” แต่ยังต้องพัฒนาทักษะการใช้เทคโนโลยีในการสอน และสนับสนุนกระตุ้นการเรียนรู้แบบ Active Learning ที่ผู้เรียนจะมีส่วนร่วมสะท้อนความคิดผ่านประสบการณ์ในห้องเรียนให้เกิดสมรรถนะ ทักษะ และการประยุกต์ใช้จากแหล่งการเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้น

พลิกโฉมแบบเรียนไทย

เพราะตามผลวิจัยมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่สำรวจผลการเรียนรู้แบบใดจะจดจำได้มากที่สุดอย่างการเรียนในห้องจดจำได้ 5% การอ่านด้วยตัวเองจดจำได้ 10% การฟังและได้เห็นจดจำ 20% การได้เห็นตัวอย่างจดจำได้ 30% การแลกเปลี่ยนพูดคุยจดจำได้ 50% การทดลองปฏิบัติเองจดจำได้ดี 75% การได้สอนผู้อื่นจดจำได้ 90%

หากดูแล้วจะเห็นได้ว่า “การเรียนการสอนในห้องเรียนอย่างเดียวไม่ตอบโจทย์” เด็กไม่สามารถเรียนในรูปแบบเดียวได้ต้องอาศัยการเรียนรู้นอกห้องเรียน และใช้สื่อดิจิทัลเข้ามาช่วยเสริมให้กว้างขึ้น

เช่นเดียวกับ “ตำราแบบเดิม” เน้นท่องจำสอบวัดผลลัพธ์ไม่พอต่อการพัฒนาคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหา และการทำงานร่วมกับผู้อื่น “การปรับตำราเรียน” ให้เชื่อมโยงชีวิตจริง และยืดหยุ่นตามความต้องการผู้เรียนเป็นเรื่องจำเป็น ตะวัน เทวอักษร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อักษร เอ็ดดูเคชั่น ในฐานะผู้อยู่ในแวดวงการศึกษา มองว่า

สมัยก่อน “ครู” ทำหน้าที่สอนนักเรียนบนหน้าชั้นเรียนที่มักไม่ได้ช่วยสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างครู และนักเรียนมักมีผลต่อการพัฒนาทักษะการเรียนรู้จนมีโอกาสคุยกับ ผอ.โรงเรียน ครู นักเรียน ผู้ปกครอง สามารถจับใจความได้ว่าหลายคนอยากได้ Learning ที่มากกว่าแค่ความเป็นหนังสือ

ทำให้มีแนวคิดเปลี่ยนห้องเรียนธรรมดา “เพื่อให้เป็นสนามแห่งการเรียนรู้เสมือนจริง” ด้วยการนำสื่อดิจิทัลมาเป็นสื่อประกอบการสอนที่น่าสนใจมากขึ้นอย่างเช่น “ห้องเรียนวิทยาศาสตร์” ที่จะสามารถช่วยอธิบาย และเสริมความเข้าใจเรื่องยากให้เข้าใจง่าย และช่วยกระตุ้นการเรียนการสอนดีมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

ทั้งยังเป็นการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีในห้องเรียน ยกตัวอย่าง “การนำก้อนหินไปชั่งบนดวงจันทร์คงทำไม่ได้” เราเลยทำรูปแบบการเรียนใหม่ขึ้นมาให้สามารถไปชั่งก้อนหินบนดวงจันทร์ได้แล้วทุกอย่างก็ใช้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เป๊ะๆ ที่เกิดจากการออกแบบกิจกรรมการทดลอง และครูเสริมการเรียนรู้แบบสื่อดิจิทัลมาประกอบ

เพียงแค่สแกน QR Code จากหนังสือเรียนรายวิชาที่จะมีสรุปเนื้อหาไว้ “รูปสื่อดิจิทัล Interactive 3D สื่อการเรียนรู้เสมือนจริง” ที่ช่วยสร้างปฏิสัมพันธ์ในห้องเรียน เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สร้างทักษะการนำเสนอ ช่วยครูอธิบายเนื้อหาเปลี่ยนเรื่องยากให้เข้าใจง่ายจากการออกแบบกิจกรรมการสอนในห้องเรียนวิทยาศาสตร์นั้น

ตรงนี้เพิ่มสีสันการสอนกระตุ้นความสนใจให้การเรียนรู้สนุก สร้างจินตนาการต่อยอดความคิด สร้างความเข้าใจให้ผู้เรียนรักวิชาวิทยาศาสตร์มากกว่าเดิม ลักษณะทำแพลตฟอร์มเป็นไกด์ให้ครูนำเสนอด้วยดิจิทัล เพราะนักเรียนจะเรียนห้องแล็บส่วนมาก “ไม่มีตังค์ซื้อ” ก็เลยทำแล็บขึ้นมาให้เด็กด้อยโอกาสทดลองทำแล็บเสมือนจริง

สิ่งนี้คือการนำคอนเทนต์จากกระดาษมาทำรูปแบบ Text อินโฟกราฟิก และ Learning Design เป็นกระบวนการสอนหนังสือ และดิจิทัลมาประกอบกันให้มีความหลากหลาย เน้นการสร้างการเรียนรู้ที่ดีให้แก่นักเรียน เพราะโลกยุคใหม่เด็กอ่านหนังสือน้อยลง “ผู้ผลิตตำรา” ก็ต้องพัฒนาเนื้อหาให้น่าดึงดูดความสนใจของเด็กมากขึ้น

ประเด็นว่า “การใช้สื่อดิจิทัลประกอบการสอนในห้องเรียน” จะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง จำเป็นต้องยกระดับ “ครู” ด้วยการทำ Teacher Academy ในการชวนครูทุกสังกัดทั่วประเทศมาเทรนให้ฟรี เพื่อให้รู้จักการสร้างแผนการเรียนรู้ให้ครูเห็นภาพกระบวนการสอนของโลกแบบใหม่ และให้ครูได้มาลงมือทำจริง

แล้วโค้ชจนสามารถรันห้องเรียน “มุ่งเน้นการสร้างองค์ความรู้ให้เกิดขึ้น” ด้วยการลงมือปฏิบัติจริง และปฏิสัมพันธ์อย่างเช่นการอบรมเชิงปฏิบัติหลักสูตรแนวทางการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) พัฒนาสมรรถนะทางการเรียนรู้สู่ห้องเรียน เพื่อส่งเสริมให้บุคลากรทางการศึกษานำความรู้ไปประยุกต์ใช้การจัดการเรียนรู้

พลิกโฉมแบบเรียนไทย

สามารถออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้การจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) “การอบรมเชิงปฏิบัติการเสริมสร้างสมรรถนะครูไทยสู่การเรียนรู้แห่งอนาคต” ใช้เทคโนโลยี AI และสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลมาส่งเสริมบุคลากรทางการศึกษา มีความรู้ ความเข้าใจเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และสื่อเทคโนโลยีดิจิทัล

เพื่อนำไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยครูทั่วประเทศ 5 แสนคน เบื้องต้นได้ดำเนินการจัดอบรมปีละแสนคน และแจกคู่มือครูไป 1 ล้านเล่มต่อปี

เรื่องนี้เป็นการเปลี่ยนแปลง “กระบวนการเรียนรู้” แน่นอนว่าเดิมในห้องเรียนครูจะยืนพูดให้นักเรียนฟัง แต่หลังจากนี้จะเป็นห้องเรียนที่มีการปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนมากขึ้น “ครูถามคำถาม Why & How มากขึ้น” แล้วก็จะพูดน้อยลง “นักเรียน” จะพูดเยอะมากขึ้น นี่คือการเปลี่ยนแปลงจริงๆ ดิจิทัลเป็นแค่ส่วนหนึ่งของกระบวนการ

“เราต้องการให้บุคลากรทางการศึกษามีความรู้ ความเข้าใจ และมีแนวทางการออกแบบการเรียนรู้พัฒนาสมรรถนะผู้เรียนอย่างเหมาะสมสอดคล้องแนวทางพัฒนาการจัดการศึกษาของประเทศไทยที่มุ่งสร้างทักษะให้ผู้เรียนทันต่อความก้าวหน้า และการเปลี่ยนแปลงของโลกอนาคตซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด” ตะวัน ว่า

สุดท้ายนี้ในฐานะผู้อยู่ในแวดวงการศึกษาอยากฝากไปถึง “ระบบการศึกษาไทย” ในการสร้างทักษะนักเรียนให้เหมาะสมกับโลกยุคปัจจุบันถือเป็นโจทย์สำคัญที่ควรดำเนินการ และก็ไม่มีโมเดลไหนที่ดีที่สุด แต่ต้องรู้จักประยุกต์ใช้ให้เหมาะสม เพราะไม่มีประเทศใดที่เป็นโมเดลเป๊ะๆให้ลอกเลียนแบบได้

ส่วนใหญ่มักเป็นโมเดล “ต้องประยุกต์ใช้” แล้วก็ไม่ได้บอกว่าทุกอย่างต้องเป็นดิจิทัลทั้งหมด เพราะบางจังหวะก็เหมาะสมดี และบางจังหวะไม่เหมาะก็มี ดังนั้นการนำดิจิทัลมาใช้คงต้องขึ้นกับจังหวะความเหมาะสม แต่ด้วยโลกสมัยใหม่ “เด็กมันขี้เกียจอ่าน” ก็ต้องทำให้โลกหนังสือเรียนมีความเหมาะกับเด็กยุคใหม่นั่นเอง

นี่คือการพลิกโฉมการศึกษาไทย “ในยุคดิจิทัล” ที่มีการใช้เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในด้านการเรียนการสอน และตำราเรียนที่ต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงนี้

ติดตามข่าวสาร ข่าวเด็ด ประเด็นร้อน ที่นี่ 👉 ข่าวเด็ดประจำวัน